เหยื่อฆาตรกร 5 ศพ ทีมจิตแพทย์เตรียมเข้าเยี่ยมเยียวยาจิตใจแม่ท้อง หลังอยู่ในอาการโศกเศร้า
ทีมจิตแพทย์โรงพยาบาลสวนปรุงเตรียมเข้าเยี่ยมเหยื่อฆาตรกรเด็ก 5 ศพ หวังฟื้นฟูสภาพจิตใจ พร้อมเข้าดูสภาพจิตผู้ต้องหา ฆ่าตรกรป่วยทางจิตก่อนหาข้อสรุปคดี ด้านรักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุงเผยเชียงใหม่มีผู้ป่วยทางจิตรประมาณ 0.1% ต่อประชากร แนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการก่อนเกิดโศกนาฏกรรม
จากกรณี นายอาซาผะ สีวัวะ อายุ 22 ปี ผู้ป่วยทางจิตใช้อาวุธมีดไล่สังหารเด็กที่บ้านใหม่หนองบัว ตำบลหนองบัว อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ จนมีเด็กเสียชีวิต 5 คน พร้อมบาดเจ็บอีก 1 คน
ล่าสุด นายแพทย์ปริทรรศ ศิลปกิจ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ พร้อมทีมแพทย์ เตรียมเข้าเยี่ยม นางยี่กอ เหยื่อฆาตรกรที่ตั้งครรภ์ 7 เดือน โดยจะเข้าไปดูอาการทางร่างกาย และเข้าไปประเมิณและสอบถามสภาพจิตใจก่อนเข้าเยียวยาเพื่อให้มีสภาพจิตที่ดีขึ้น
ซึ่งจากอาการล่าสุดของ นางยี่กอ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ นั้นจากการบาดเจ็บที่แขนขวา และใบหน้านั้นมีอาการที่ดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สำหรับสภาพทางจิตใจนั้นยังไม่สามารถพูดจาได้เป็นปกติ และยังร้องไห้ตลอดเวลา เนื่องจากยังอยู่ในอาการช็อกจากการสูญเสียบุตรจากเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้น
สำหรับ นายอาซาผะ สีวัวะ ผู้ต้องหาที่ป่วยทางจิตนั้น เริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ รู้สึกตัวเป็นบางครั้ง และยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังจากอาการบาดเจ็บเลือดคลั่งในสมอง ซึ่งในส่วนของผู้ต้องหาทางทีมจิตแพทย์โรงพยาบาลสวนปรุงก็จะเข้าไปเฝ้าสังเกตการ โดยหากสามารถพูดคุยตอบโต้ได้ ทางทีมแพทย์ก็จะมีการสอบถามเพื่อประเมิณสถานะภาพทางจิต หาเจตนา และเหตุจูงใจของการก่อเหตุ โดยจะนำข้อมูลสภาพจิตของผู้ต้องหาส่งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหาข้อสรุปของคดีต่อไป
ด้าน นายแพทย์ปริทรรศ เผยว่า สำหรับในจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ป่วยทางจิตที่รุนแรงที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เมื่อดูจากข้อมูลเชิงระบาดวิทยาก็มีมากพอสมควร เฉลี่ยประมาณ 0.1% ต่อประชากร แต่ส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงมากนัก จะเป็นผู้เข้ารับรักษาช่วงสั้นๆ และไปกินยาต่อที่บ้านก็จะเป็นปกติยกเว้นบางรายที่อาจไปดื่มเหล้าและเสพยาที่อาจะกำเริบรุนแรง สำหรับสัญาณเตืนหากเป็นคนที่ไม่รู้จัก ซึ่งคนปกติเวลาเดินไปมาเราจะรู้ได้จากสีหน้าแววตาก็จะดูรู้ว่ามีเป้าหมาย ควบคุมตนเอง อยู่กับตัวเองได้ แต่ถ้าเดินไปมาด้วยลักษณะการแต่งกาย สีหน้าแววตาที่ดูแล้วเป็นผู้มีปัญหาก็อยากให้ช่วยกันแจ้งเพื่อให้มีการนำมารักษา
ส่วนกรณีที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลไปสิ่งแรกที่ควรจะต้องทำคือต้องเมตตา ไม่ควรแสดงท่าทีรังเกียจ หรือล้อเลียนยั่วยุ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเครียด ทั้งนี้จะสังเกตได้หาว่าผู้ป่วยได้รับยาอย่างสม่ำเสมอ และพึ่งออกจากโรงพยาบาลจะมีเนื้อตัวสะอาด เรียบร้อย ยิ้มแย้ม และพูดจาเป็นปกติ แต่เมื่อใดที่เริ่มผิดสังเกตก็จะมีเนื้อตัวมอมแมมมากขึ้น ไม่ค่อยดูแลตัวเอง อาจะเริ่มพูดพึมพำคนเดียว กลางคืนไม่นอนเหมือนคุยกับใคร หรือเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด รวมถึงบางรายมีอาการซึมแยกตัว ก็ให้ลองไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ดู
อย่างไรก็ตาม ที่กลัวมากคือสังคมจะมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้ป่วยจิตเวช โดยการผลักไส รังเกียจ ซึ่งผลลัพท์ก็จะทำให้คนเหล่านี้ถูกผลักออกนอกการรักษา และจะทำให้มีโอกาสจะเป็นรุนแรงมากขึ้นและจะย้อนกลับมาทำอันตรายให้กับสังคม แต่หากมองกลับกันโดยอาศัยเจตนารมณ์ของบัญญัติสุขภาพจิตปี 2551 ที่จะทำอย่าไรให้คนเหล่านี้ได้รับการรักษา ซึ่งระบบประกันสุขภาพไทยก็เอื้อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษา มีบริการของรัฐคลอบคลุมในทุกจังหวัด รวมถึงมีสถาบันเชี่ยวชาญแบบโรงพยาบาลสวนปรุงกระจายอยู่ทั่วประเทศอีก 10 กว่าแห่ง จึงเห็นได้ว่าความพร้อมของเรามีพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้ได้รับโอกาสในการรักษา เพื่อให้ตัวผู้ป่วยทางจิตได้หายจากความทุขทรมาน รวมถึงได้ทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและสังคม โดยอีกด้านหนึ่งสังคมก็จะปลอดภัยมากขึ้น
ทีมา => http://news.sanook.com/1873387/